กำถั่วเล่นยังไง กำถั่ว หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ถั่วหยิบ เป็นเกมเดิมพันที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนและได้รับความนิยมในหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะในคาสิโนทั้งแบบดั้งเดิมและแบบออนไลน์ กติกาในการเล่นง่ายและไม่ซับซ้อน ทำให้เกมนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้เล่นที่ต้องการความสนุกและเล่นเกมที่ไม่ต้องใช้กลยุทธ์มาก
อุปกรณ์ที่ใช้ในเกมกำถั่ว
- เมล็ดถั่ว กระดุม หรือวัตถุเล็ก ๆ จำนวนประมาณ 200-500 ชิ้น
- ในคาสิโนออนไลน์ จะใช้การจำลองเมล็ดถั่วหรือกระดุมในระบบแทน
วิธีการเล่น กำถั่วเล่นยังไง
- การหยิบถั่ว
- เจ้ามือจะหยิบเมล็ดถั่ว (หรือวัตถุเล็ก ๆ) จำนวนหนึ่งจากกองถั่วหลัก ซึ่งปกติจะหยิบมาประมาณ 30-50 เมล็ด
- การแบ่งถั่ว:
- เจ้ามือจะแบ่งเมล็ดถั่วที่หยิบขึ้นมาออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 เมล็ด และจะนับกลุ่มสุดท้ายว่ามีถั่วเหลือกี่เมล็ด (1, 2, 3 หรือ 4 เมล็ด)
- การวางเดิมพัน
- ผู้เล่นต้องทายจำนวนเมล็ดถั่วที่เหลือในกลุ่มสุดท้าย โดยจะมีตัวเลือกให้ทาย 1, 2, 3 หรือ 4 เมล็ด
- การเดิมพันในเกมกำถั่วสามารถแบ่งได้หลายแบบ เช่น:
- แทงเต็งเลข: ทายว่าในกลุ่มสุดท้ายจะเหลือเมล็ดถั่วกี่เมล็ด (1, 2, 3 หรือ 4 เมล็ด)
- แทงควบสองเลข: ทายสองหมายเลข เช่น 1 และ 2 หรือ 3 และ 4 เพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้
- แทงควบสามเลข: ทายสามหมายเลข เช่น 1, 2 และ 3 เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะมากขึ้น แต่อัตราการจ่ายจะต่ำกว่า
ตัวอย่างการเล่น
- หากคุณเลือกแทง เต็งเลข 3 นั่นหมายความว่าคุณทายว่าถั่วที่เหลือในกลุ่มสุดท้ายจะมี 3 เมล็ด หากผลลัพธ์ออกมาเป็น 3 เมล็ดจริง คุณจะชนะและได้รับเงินรางวัลตามอัตราจ่ายที่กำหนด
- หากคุณเลือกแทง ควบสองเลข เช่น เลือกแทง 1 และ 2 ถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็น 1 หรือ 2 คุณจะชนะ แต่การจ่ายเงินจะน้อยกว่าแทงเต็งเลขเดียว
เทคนิคการเล่น กำถั่วเล่นยังไง
- การวางแผนการเดิมพัน:
- การแทงควบหลายเลข เช่น ควบสองหรือควบสามตัวเลข ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แม้ว่าการจ่ายเงินจะน้อยลง แต่ความเสี่ยงก็ลดลงเช่นกัน
- การดูแนวโน้มสถิติ:
- การเล่นในคาสิโนออนไลน์มักจะมีการแสดงสถิติผลลัพธ์ของรอบก่อนหน้า ซึ่งช่วยให้คุณวิเคราะห์แนวโน้มและวางแผนการเดิมพันในรอบถัดไปได้ดียิ่งขึ้น
- การจัดการงบประมาณ:
- ตั้งงบประมาณในการเล่นให้ชัดเจน และไม่ควรเดิมพันเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ การจัดการเงินที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทั้งหมดในครั้งเดียว
ข้อดีของการเล่นกำถั่ว
- กติกาง่าย: ไม่ต้องใช้กลยุทธ์ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกระดับ
- โอกาสชนะสูง: โดยเฉพาะหากเลือกแทงควบหลายเลข โอกาสชนะจะสูงขึ้น
- เล่นได้หลายรอบ: แต่ละรอบของเกมใช้เวลาไม่นาน ทำให้สามารถเล่นได้หลายรอบในเวลาอันสั้น
วิธีการเดินเงิน กำถั่ว
การเดินเงินในการเล่นกำถั่ว เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเสียเงิน การเดินเงินช่วยให้ผู้เล่นสามารถจัดการงบประมาณได้ดีขึ้น และสามารถควบคุมการเล่นได้อย่างมีวินัย โดยนี่คือเทคนิคการเดินเงินที่สามารถนำไปใช้ได้ในการเล่นกำถั่ว:
1. Martingale Strategy (กลยุทธ์มาร์ติงเกล)
- กลยุทธ์นี้เน้นการเพิ่มเงินเดิมพันเป็น สองเท่า ทุกครั้งที่แพ้ เพื่อชดเชยการเสียเงินในรอบก่อนหน้าและทำกำไรเมื่อชนะ
- ตัวอย่าง: หากคุณเริ่มเดิมพันที่ 100 บาท แล้วแพ้ รอบถัดไปให้เพิ่มเดิมพันเป็น 200 บาท หากยังแพ้อีกให้เพิ่มเป็น 400 บาท จนกว่าคุณจะชนะ และเมื่อชนะ คุณจะได้คืนทั้งทุนที่เสียไปพร้อมกำไร
ข้อดี:
- ชดเชยการขาดทุนได้ทันทีที่ชนะในรอบถัดไป
- กำไรที่ได้หลังจากชนะจะเท่ากับเงินเดิมพันครั้งแรก
2. Fibonacci Strategy (กลยุทธ์ฟีโบนักชี)
- กลยุทธ์นี้ใช้ลำดับตัวเลขของฟีโบนักชี (1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21…) ในการวางเดิมพัน โดยเมื่อแพ้ให้เพิ่มเงินตามลำดับฟีโบนักชี และเมื่อชนะให้ถอยกลับไปสองขั้นในลำดับ
- ตัวอย่าง: เริ่มเดิมพันที่ 100 บาท หากแพ้ในรอบแรก รอบถัดไปให้วางเดิมพัน 100 บาท (1 ตามลำดับ) หากแพ้อีกให้เดิมพัน 200 บาท (2 ตามลำดับ) หากชนะ ให้กลับไปเดิมพัน 100 บาทในรอบถัดไป
ข้อดี:
- การเพิ่มเงินเดิมพันจะไม่เร็วเกินไปเหมือน Martingale
- ลดความเสี่ยงเมื่อชนะ โดยกลับไปถอยสองขั้นเพื่อลดเงินเดิมพัน
3. Labouchere Strategy (กลยุทธ์ลาโบแชร์)
- กลยุทธ์นี้จะกำหนดเป้าหมายการทำกำไร และแบ่งตัวเลขตามเป้าหมาย เมื่อเดิมพันแล้วจะนำผลรวมของตัวเลขซ้ายสุดและขวาสุดมาวางเดิมพัน หากชนะจะตัดตัวเลขออก แต่ถ้าแพ้ให้เพิ่มผลรวมที่เดิมพันไปต่อท้าย
- ตัวอย่าง: หากต้องการกำไร 500 บาท คุณอาจแบ่งเป็น 100, 200, 200 เมื่อเดิมพันชนะตัวเลขซ้ายสุดและขวาสุดจะถูกตัดออก แต่หากแพ้ ให้นำผลรวมตัวเลขที่แทงต่อท้ายไปเพิ่ม เช่น ถ้าเดิมพัน 100 + 200 = 300 และแพ้ ให้เพิ่ม 300 ไปต่อท้ายเป็น 100, 200, 200, 300
ข้อดี:
- สามารถควบคุมการเดินเงินได้ดี
- เหมาะกับการตั้งเป้าหมายกำไรชัดเจน
4. D’Alembert Strategy (กลยุทธ์เดลองแบร์)
- กลยุทธ์นี้เน้นการเพิ่มเงินเดิมพันเมื่อแพ้ และลดเงินเดิมพันเมื่อชนะ โดยจะเพิ่มหรือลดเงินเดิมพันทีละขั้น
- ตัวอย่าง: เริ่มเดิมพันที่ 100 บาท หากแพ้ ให้เพิ่มเงินเดิมพันเป็น 200 บาท หากชนะให้ลดเงินเดิมพันกลับมาเป็น 100 บาท
ข้อดี:
- ความเสี่ยงต่ำกว่ากลยุทธ์ Martingale
- เหมาะสำหรับผู้เล่นที่ต้องการเล่นระยะยาวโดยไม่ต้องใช้เงินทุนสำรองมาก
5. Paroli Strategy (กลยุทธ์พาโรลิ)
- กลยุทธ์นี้ตรงข้ามกับ Martingale โดยเมื่อชนะ ให้เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่า และเมื่อแพ้ ให้กลับมาเดิมพันที่จำนวนเดิม
- ตัวอย่าง: เริ่มเดิมพันที่ 100 บาท หากชนะให้เพิ่มเป็น 200 บาท และหากชนะอีกครั้งให้เพิ่มเป็น 400 บาท แต่หากแพ้ให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ 100 บาท
ข้อดี:
- ความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะเมื่อแพ้จะไม่เพิ่มเงินเดิมพัน
- เหมาะสำหรับการเล่นช่วงที่คุณชนะต่อเนื่อง
6. Flat Betting (การแทงแบบคงที่)
- การแทงแบบ Flat Betting คือการวางเดิมพันในจำนวนเงินเท่ากันในทุกรอบ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
- วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงและควบคุมเงินเดิมพันให้แน่นอน
ข้อดี:
- การแทงแบบคงที่ทำให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียเงินมากในเวลาอันสั้น
7. Reverse Martingale Strategy (กลยุทธ์มาร์ติงเกลแบบกลับ)
- วิธีนี้จะตรงข้ามกับ Martingale คือ เมื่อชนะให้เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่า แต่หากแพ้ให้กลับมาเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินเดิมพันเท่าเดิม
- ตัวอย่าง: เริ่มเดิมพันที่ 100 บาท หากชนะให้เพิ่มเป็น 200 บาท แต่ถ้าแพ้ให้กลับมาเดิมพันที่ 100 บาท
ข้อดี:
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรเมื่อชนะต่อเนื่อง
- ความเสี่ยงต่ำเมื่อแพ้ เพราะไม่เพิ่มเงินเดิมพัน
Line : @una888